ประวัติความเป็นมาของรถยนต์
ตั้งแต่มีการประดิษฐ์ เครื่องจักรไอน้ำ ขึ้นใช้ ก็ได้มีคนมากมายพยายามที่จะ ประดิษฐ์รถยนต์ขึ้น แต่ทว่ารถยนต์ ที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำรุ่นแรกนั้น ก็ใช้งานได้มีดีเท่าใดนัก รถยนต์ที่ใช้เครื่องจักรจริงๆ รุ่นแรก ได้ถูกผลิตออกขายในประเทศเยอรมันในราวกลางทศวรรษที่ 188 โดยชายสองคนที่มีชื่อว่า เดมเลอร์ และ เบนซ์ รถในรูปภาพด้านบนถือเป็นรถคันแรกๆ ของเดมเลอร์ ซึ่งรถคันนี้จะใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเหมือนรถในปัจจุบันนี้
คนที่ผลิตรถยนต์ที่มีราคาถูกนี้มีชื่อว่า เฮนรี่ ฟอร์ด เขาได้เริ่มผลิตรถยนต์ ที่มีราคาถูกและสามารถแล่นได้เร็วออกมาขายในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1908 หรือ พ.ศ. 2451 รถยนต์เหล่านี้มีชื่อรุ่นว่า ทีฟอร์ด หรือ ทิน ลิชซี่ จนมาถึงปี ค.ศ. 1927 เฮนรี่ ฟอร์ด ก็ได้ผลิตรถยนต์ รุ่น ทีฟอร์ด ออกมาขายได้ถึง 15 ล้านคันทีเดียว รถยนต์รุ่นนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะในปีต่อมาก็ได้มีการผลิตรถยนต์ที่สามารถแล่นได้เร็วขึ้นและนั่งสบายขึ้นออกมา อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่ไม่เสียบ่อยๆ อีกด้วย รถยนต์ส่วนใหญ่นั้นจะใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง และเมื่อน้ำมันนั้นได้มีการผสมปนกับอากาศ ก็จะทำให้มีประกายไฟเกิดขึ้นระหว่าง การผสมนั้น จากนั้นมันก็จะมีการจุดระเบิดเกิดขึ้น
ในเครื่องยนต์ของรถยนต์คันหนึ่ง จะมีการจุดระเบิดเกิดขึ้นนับพันๆ ครั้งอย่างรวดเร็ว การจุดระเบิดนี้จะดันให้ลูกสูบวิ่งขึ้นลงๆ และลูกสูบนี้เองที่จะทำให้ล้อรถยนต์หมุนไป คนขับก็สามารถทำให้รถแล่นได้เร็ว โดยการใช้เท้าเหยียบคันเร่ง ซึ่งจะทำให้น้ำมันไหลเข้าไปในเครื่องยนต์มากขึ้น
สาเหตุที่รถยนต์จำเป็นจะต้องใช้แบตเตอรี่นั้น มีหลายประการ แบตเตอรี่จะก่อให้เกิดประกายไฟ ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานต่อไปเรื่อย นอกจากนั้นแบตเตอรี่ยังทำให้เราสามารถติดเครื่องยนต์ได้ อีกทั้งยังทำให้ไฟและแตรทำงานได้ด้วย
ตั้งแต่เริ่มมีการ ประดิษฐ์รถยนต์ ขึ้นก็เริ่มมีคนนำรถยนต์มาวัดความเร็วกันแล้ว การแข่งขันที่มีความยิ่งใหญ่ได้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศษ ในปี ค.ศ. 1895 โดยรถทุกคันจะใช้เส้นทางไปบอร์กโดซ์และวกกลับมาสู่ปารีส รวมระยะทางทั้งสิ้น 1,178 กิโลเมตร ในการแข่งขันครั้งนี้ได้มีรถยนต์เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 20 คัน เป็นรถยนต์ที่ใช้กำลังไอน้ำ 6 คัน และเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน 13 คัน และรถที่ใช้กระแสไฟฟ้าหนึ่งคัน ผลปรากฎว่าผู้ชนะคือ รถแพนฮาร์ด ซึ่งขับเคลื่อนโดยใช้น้ำมันวงล้อของรถคันนี้ทำมาจากไม้ และยางรถยนต์ที่ใช้ก็จะมีลักษณะดันและมีหางเสือที่มีลักษณะคล้ายหางเสือของเรือ อัตราความเร็วเฉลี่ยที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ประมาณ 24 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การแข่งขันรถยนต์ครั้งนั้นนับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของคนในสมัยนั้นเลยทีเดียว รถยนต์ นั้นจำเป็นจะต้องมีกระปุกเกียร์ คนขับจะใช้กระปุกเกียร์นี้ในการบังคับเครื่องยนต์ ตามความต้องการของเขา เขาจะต้องใช้เกียร์ขณะติดเครื่องเร่งความเร็ว ขับรถขึ้นภูเขา หรือแม้แต่ขณะขับรถไปตามถนนทางเรียบ รถบางคันจะมีเกียร์ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เอง เรียกว่า เกียร์อัตโนมัติ นอกจากนั้น เครื่องยนต์ของรถยนต์ ก็ยังจะต้องมีอุปกรณ์สำคัญอีกสองอย่างก็คือ เครื่องทำความเย็น ซึ่งทำโดยการเติมน้ำลงไปในเสื้อสูบที่อยู่รอบๆ เครื่องยนต์ และน้ำนี้ก็จะให้ความเย็นได้โดยการใช้พัดลมเป่า
นอกจากนั้นเครื่องยนต์ก็จำเป็นจะต้องใช้น้ำมัน ทุกๆ ส่วนของเครื่องยนต์ที่มีการเคลื่อนไหวจำเป็นต้องมีน้ำมันมาคอยหล่อลื่น เพื่อที่จะทำให้เครื่องยนต์สามารถเดินเครื่องได้เรียบ ซึ่งถ้าไม่มีน้ำมัน เครื่องยนต์ก็จะไม่สามารถเดินเครื่องได้
นอกจากรถยนต์ที่มี 4 ล้อแล้ว ยังมีรถจักรยานยนต์ 2 ล้อใช้ด้วย รถจักรยานยนต์รุ่นแรกๆ เลยนั้น จะเคลื่อนที่โดยการใช้ขาทั้งสองข้างของผู้ขับ ดันกับพื้นไปเรื่อยๆ และรถจักรยานยนต์รุ่นแรกๆ นี้จะไม่มีที่ถีบ เราเรียกจักรยานชนิดนี้ว่า รถแคนดี้ ฮอร์ส
รถจักรยานยนต์ ที่มีที่ถีบได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1865 ซึ่งรู้จักในชื่อว่า โบน เชกเกอร์ เพราะว่าเบาะที่นั่งนี้ไม่มีสปริง จักรยานที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในทศวรรษที่ 188 ซึ่งล้อหลังจะขับเคลื่อนแบบโซ่ และมียางรถที่ต้องหมั่นเติมลมอยู่เสมอ จากนั้นก็มีคนเกิดความคิดที่จะติดเครื่องยนต์ให้กับจักรยาน อันที่จริงแล้วได้มีการติดตั้งเครื่องยนต์กับรถสามล้อก่อน ต่อจากนั้น เดมเลอร์ ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์รถยนต์คันแรก ๆ ก็ได้ผลิต รถจักรยานยนต์คันแรก ของโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น