วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

กระจกมองข้าง สำคัญฉไหน

กระจกมองข้าง เป็นส่วนประกอบของรถยนต์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งก็ว่าได้


รถยนต์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ก็มีขนาดของกระจกมองข้างไม่เท่ากัน

การที่ผู้ใช้รถปรับกระจกให้ได้องศาที่พอเหมาะ กับระดับการมองเห็นของท่าน

จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะกระจกมองข้าง เป็นการมองรถยนต์ที่อยู่ทางด้านหลัง

หรือแม้แต่ ท่านต้องการเปลี่ยนเลนวิ่งมาทางซ้าย หรือ แซงรถคันอื่นขึ้นไปก็ตาม

ดังนั้นแล้ว หากว่าท่านจะต้องเป็นผู้ใช้รถ ท่านก็ควรที่จะปรับกระจกให้เหมาะกับระยะการมองของท่าน

ซึ่งรถยนต์ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นระบบไฟฟ้า ไปเสียหมดแล้ว ก็จะง่ายต่อการปรับ

สำหรับบางท่าน อาจซื้ออุปกรณ์ที่เป็นกระจกนูนโ้ค้งมาติดเพิ่ม เพื่อช่วยเพิ่มระยะการมอง

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต่อให้รถยนต์ของท่านจะมีระบบป้องกันความปลอดภัยดีสักเพียงใดก็ตาม

ความปลอดภัย ต้องขึ้นอยู่กับผู้ขับ ประสบการณ์ สภาพอากาศ ความไม่ประมาท ความมีสติ

และนอกเหนือสิ่งอื่นใด อาจจะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ผู้ใช้รถท่านอื่นที่อยู่บนถนน

มีอาการมึนเมา บางท่านขับรถหวาดเสียว ฯลฯ

หรือรถของผู้ร่วมใช้ถนนท่านอื่นมีความบกพร่อง เช่น เบรคแตก คันเร่งจม ฯลฯ

ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ และเป็นข่าวกันได้แทบทุกวันไป

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

ลักษณะของรถยนต์

ลักษณะของรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน 

สามารถเป็นได้ 7 ลักษณะ ดังนี้

1. Sedan รูปร่างลักษณะของรถยนต์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถนั่งส่วนบุคคลแบบเก๋ง มีที่นั่งทั้งข้างหน้า และข้างหลัง โดยทั่วไปสามารถนั่งได้ 4–6 คน มีทั้งแบบ 2 ประตู และ 4 ประตู 
 
2.  Convertible Top / แบบเปิดประทุน ลักษณะรถแบบนี้มีหลังคาที่สามารถเปิดขึ้น-ลง โดยทั่วไปหลังคาทาจากวัสดุไวนิล (Vinyl) รถแบบนี้มีทั้ง 2 ประตู และ 4 ประตู รถที่มีเบาะที่นั่งเฉพาะด้านหน้า เราเรียกว่า รถสปอร์ต (Sports)


3. Liftback หรือ Hatchback ลักษณะรถแบบ Liftback หรือ Hatchback รถแบบนี้จะมีประตูด้านหลังซึ่งทาไว้สาหรับเป็นช่องเปิด-ปิดใส่สัมภาระ ส่วนลักษณะภายนอกอย่างอื่นจะมีลักษณะคล้ายกับรถซีดาน รถแบบนี้มีทั้งแบบ 3 ประตู และ 5 ประตู


4. Station Wagon ลักษณะรถแบบ Station Wagon มีหลังคายื่นยาวไปถึงด้านหลัง บริเวณด้านหลังจะมีที่เก็บสัมภาระ และมีประตูเปิด-ปิด ลักษณะการเปิดสามารถออกแบบให้เปิดได้หลายวิธี เช่น อาจเปิดขึ้นข้างบน หรือเปิดออกทางด้านข้าง รถแบบ Station Wagon มีทั้ง 2 ประตู หรือ 4 ประตู


5. Pick-ups หรือรถกระบะ ลักษณะรถแบบ Pick-ups รถแบบนี้ถูกออกแบบให้ด้านท้าย หรือบริเวณด้านหลังคนขับ เป็นกระบะ ใช้งานสาหรับงานบรรทุก บางรุ่นเพิ่มพื้นที่ด้านหลังคนขับภายในห้องโดยสารให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น โดยเราเรียกว่า CAP รถกระบะมีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ หรือเราเรียกว่า 4x4 หรือบางครั้งมีการออกแบบให้ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา

 


6. Vans ลักษณะรถแบบ Vans ออกแบบให้มีหลังคายาวไปถึงท้ายรถยนต์ ด้านหลังคนขับมีพื้นที่ไว้งานได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้สาหรับเป็นรถโดยสาร สามารถนั่งได้ถึง 12 คน หรือใช้สาหรับขนส่งสินค้า แล้วแต่การออกแบบเพื่อใช้งาน

7. Multipurpose Vehicles หรือ รถอเนกประสงค์ ลักษณะรถแบบ Vans ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบด้วยกัน โดยหลังคายาวคลุมตลอดตัวรถ มีพื้นที่ด้านหลังคนขับไว้ใช้งาน มีแบบทั้ง ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา


วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

ร่องยาง และดอกยาง

ร่องยาง

ร่องยางที่มีความกว้าง และความลึก ช่วยในการเรื่องของการรีดน้ำออกจากยาง ได้อย่างรวาดเร็ว ลดหารเหิรน้ำ ช่วยเกาะถนน

ดอกยาง

ดอกยางสัมผัสโดยตรงกับถนน มีหน้าที่ที่สำคัญในการยึดเกาะถนน


วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

การเลือกยางรถยนต์

รถเก๋งและรถสปอร์ต

ยางที่เหมาะกับรถเก๋ง เน้นการใช้งานบนถนนเรียบทั่วไป
มีคุณสมบัติ หลัก ๆ คือ ให้ความนิ่มนวลขณะขับขี่ ยึดเกาะถนนได้ดีทั้งในสภาพถนนแห้ง
สามารถรีดน้ำออกจากหน้ายางได้อย่างเร็ว บนถนนเปียก มีระยะเบรกที่สั้น เก็บเสียง
เพิ่มความประหยัดน้ำมัน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ยางของรถสปอร์ตส่วนใหญ่ ถูกกำหนดแน่นอนว่าด้านใดอยู่ข้างนอกหรือข้างในตัวรถ
เพราะยางแบบนี้จะมีส่วนของเนื้อยางด้านนอกและด้านในที่แตกต่างกัน โดยด้านในของหน้ายางเป็นเนื้อยางที่ช่วยทำหน้าที่ตัดฝ่าผิวน้ำ และสามารถฝังตัวเกาะเข้ากับพื้นถนน ช่วยเพิ่มสมรรถนะบนพื้นเปียกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนหน้ายางด้านนอกจะเป็นสูตรเนื้อยางคาร์บอนแบล็กเสริมแรง ช่วยให้ยางมีความคงทน แม้ผู้ขับจะเข้าโค้งแรง ๆ อยู่เสมอ

ยางสำหรับรถยนต์นั่งอเนกประสงค์

ยางสำหรับรถยนต์นั่งอเนกประสงค์มีอยู่ 3 แบบ คือ

1. ยางไฮเวย์เทอร์เรนสำหรับวิ่งบนถนนลาดยางปกติ

2.ยางออลเทอร์เรนที่ใช้ได้ทั้งบนถนนลาดยางและถนนดินลูกรัง

3.ยางมัดเทอร์เรนสำหรับการลุยบนเส้นทางที่มีอุปสรรคอย่างก้อนหินขนาดใหญ่ หรือบ่อโคลน

ความแตกต่างของยางทั้ง 3 แบบนี้มองเห็นได้ง่าย ๆ จากลักษณะของดอกยางและร่องดอกยาง

ยางแบบไฮเวย์เทอร์เรน

ดูคล้ายยางของรถเก๋ง เน้นความเงียบและนุ่ม
แก้มยางจึงมีความยืดหยุ่น ผสานดอกยางที่ให้ความมั่นคงในการทรงตัวที่ความเร็วสูง ๆ
หน้าสัมผัสของยางมีขนาดที่กว้างช่วยให้การกระจายน้ำหนักสม่ำเสมอ
เนื้อยางเหนียว ยืดหยุ่น และทนการบาดตำและเสียดสี

ยางออลเทอร์เรน

ยางออลเทอร์เรน เป็นยางที่ให้สมรรถนะพร้อมลุยทุกสภาพเส้นทางที่ไม่โหดมาก
โดยยังคงมีคุณสมบัติที่ให้ความเงียบนุ่มสบาย และทะยานไปได้อย่างมั่นคงบนทางไฮเวย์
แต่ไม่สูญเสียความสามารถในการตะกุยบนทางออฟโรด
จึงเน้นการออกแบบลายดอกยางให้มีร่องบากขนาดใหญ่จำนวนมาก
เพื่อให้สามารถยึดเกาะถนนทุกสภาพพื้นผิว ไม่ว่าจะโคลน ดิน ทราย และผิวหญ้า
บล็อกดอกยางมีขนาดที่แตกต่างกัน ช่วยหักล้างความถี่เสียงที่เกิดขึ้น
เสียงยางบนถนนจึงไม่ดังมาก เนื้อยางต้องมีความเหนียว ยืดหยุ่น
ทนการเสียดสีบาดตำได้ดีกว่ายางแบบไฮเวย์เทอร์เรน

ยางมัดเทอร์เรน

ยางมัดเทอร์เรนเป็นยางที่เหมาะกับคนที่ชอบเข้าป่าเที่ยวภูเขา
รักกับการลุยบนเส้นทางโหด ๆ ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นท่อนซุง หลุม โคลน หรือหินก้อนใหญ่ ๆ
ยางแบบนี้สามารถช่วยให้รถเคลื่อนที่ผ่านไปได้ด้วยลักษณะของดอกยางขนาดใหญ่
ที่เหมาะกับการปีนป่ายและตะกุย เนื้อยางมีความแข็งแกร่งแต่ขาดความนุ่ม
เวลาที่วิ่งเร็ว ๆ รู้สึกได้ว่าเสียงยางบดถนนดังมาก การยึดเกาะถนนก็ไม่ดีเท่าไร
เพราะดอกยางขาดความยืดหยุ่นและมีผิวสัมผัสน้อย

ยางสำหรับรถตู้และรถกระบะ

          รถกลุ่มนี้จะแบ่งยางออกเป็น 2 แบบ คือ ยางสำหรับการใช้งานโดยทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้เน้นการบรรทุกหนัก กับยางแบบที่เหมาะสำหรับใช้กับรถที่รองรับน้ำหนักบรรทุกหนัก ๆ
         
          สำหรับลักษณะของดอกยางรถตู้และกระบะที่ไม่เน้นการใช้งานหนักจะคล้าย ๆ กับลายดอกยางของรถเก๋งเพราะต้องการผสมผสานความนุ่มเงียบแบบรถเก๋งและมีความ ทนทานแบบยางกระบะ โครงสร้างยางโดยรวมและชั้นเนื้อยางบริเวณแก้มยางมีการเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากการใช้งาน ส่วนลักษณะของดอกยางและร่องยางของรถที่ต้องบรรทุกหนัก นอกจากจะมีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังต้องเสริมโครงสร้างของยางด้วยใยเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงที่มีขนาดใหญ่และ กว้างเป็นพิเศษ พร้อมด้วยชั้นใยสังเคราะห์ความแข็งแรงสูงรัดหน้ายางจดไหล่ยาง ให้ความแข็งแกร่งทั้งหน้ายางและไหล่ยาง

เมื่อไรที่จะถึงเวลาต้องเปลี่ยนยาง

ถ้าเป็นการใช้งานโดยปกติและเจ้าของหมั่นดูแลรักษาอยู่เสมอ มีการสลับยางทุก ๆ 10,000 กม.
อายุการใช้งานของยางจะอยู่ที่ประมาณ 3 ปี หรือคิดเป็นระยะทางประมาณ 50,000 กม.
แต่ถ้าพบว่ายางมีการเสื่อมสภาพหรือมีอาการผิดปกติ เช่น มีการสั่นสะเทือนของยาง มีเสียงดัง ยางดึงซ้ายหรือขวา ดอกยางสึกมากจนมีความลึกของร่องยางไม่ถึง 1.6 มม.หรือยางได้รับความเสียหายจนมีรอยฉีกขาด ก็ต้องรีบนำรถเข้าไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญตามศูนย์บริการยาง และทำการเปลี่ยนยางเส้นใหม่มาทดแทนเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

"เลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถของท่าน และดูแลรักษายางอยู่เสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของยาง และเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง"

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มาดูแล และรักษายางรถยนต์ของท่านกันดีกว่า

ของใช้ทุกอย่าง เมื่อต้องใช้งาน ก็ต้องเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา และอายุการใช้งาน
ยางรถยนต์ ก็เช่นกัน เมื่อถูกใช้งานก็ย่อมสึกหรอไปตามระยะทาง เวลาในการใช้งาน 
ดังนั้น เรามาดูแลรักษาด้วยวิธีที่ดี และถูกต้อง 
จะช่วยให้การใช้ยางรถยนต์เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน 
ถึงแม้ผู้ผลิต จะผลิตยางรถยนต์ออกมาคุณภาพดี มีประสิทธิภาพมากมายขนาดไหน
หากใช้ยางรถยนต์ไม่ถูกต้อง  ประสิทธิภาพได้รับไม่เต็มที่ เสียหายก่อนกำหนด 
ดังนั้นแล้วยางรถยนต์จะให้ประโยชน์คุ้มค่า คุ้มราคาเงินที่จ่ายไปอย่างเต็มที่
ขึ้นอยู่กับการใช้ การดูแล ใส่ใจ บำรุงรักษา ยางรถยนต์ที่ถูกต้อง

เติมลมยางให้อยู่ในอัตราเหมาะสม

การเติมลมยางรถยนต์ให้ได้ตามอัตราที่เขียนในคู่มือรถยนต์ได้กำหนดเป็นอัตรา ที่ดีที่สุด
เหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด แต่หากคุณไม่ได้ใช้ยางรถยนต์ขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา
ควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากผู้ผลิตยาง หรือร้านจำหน่าย
ยางรถยนต์ที่ได้มาตราฐาน

ในส่วนของ ยางอะไหล่ คุณควรเติมลมไว้ให้มากกว่ามาตราฐาน 3 - 4 ปอนด์ และเมื่อนำมาใช้งานก็ปล่อยให้เป็นความดันปรกติ

ตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมอ

ควรตรวจเช็คลมยางประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ เพราะตรวจเมื่อใช้รถไปแล้วหรือตัวยางรถมีความร้อน ค่าความดันภายในยางจะสูงขึ้นและไม่ได้เป็นค่าที่ใช้วัดตามมาตราฐาน

อย่าใช้วิธีสังเกตด้วยตาว่า ลมยางรถยนต์อ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยางที่คุณใช้เป็นยางเรเดียล ควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตราฐาน
 
สลับยางรถยนต์

ดังนั้นท่านควรศึกษาคู่มือการใช้รถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยางรถยนต์ ควรจะสลับยางรถยนต์ในทันทีที่คุณใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก เพื่อให้ยางรถยนต์ทุกเส้นมีการสึกที่เท่ากัน
ข้อควรระวัง ลมยางล้อหน้าและล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท่านก็ต้องปรับระดับความดันลมของยางรถยนต์ล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง

ต้องมีการถ่วงล้อ

การกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยาง จะก่อให้เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นขณะที่รถวิ่ง
อันจะมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ ระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่

ปรับตั้งศูนย์ล้อ

รถที่มีปัญหาศูนย์ล้อที่ไม่ตรง เช็คได้ง่าย ๆ คือเมื่อรถวิ่งทางตรงลองปล่อยพวงมาลัยดูถ้ารถเกิดวิ่งเบี่ยงขึ้นมาแปลว่า ศูนย์ล้อไม่ตรง และเมื่อศูนย์ล้อไม่ตรงยางรถยนต์ก็จะเกิดการสึกหรอผิดรูป
 
ใช้งานยางรถยนต์ให้ถูกประเภท

ควรเลือกยางรถยนต์ให้คำนึงถึง จุดประสงค์ในการวิ่งเช่น วิ่งในเมือง-ทางเรียบ,
ชอบออกต่างจังหวัด-ทางขรุขระ, วิ่งแถวภาคใต้ฝนตกบ่อย ก็เลือกยางที่เหมาะกับสภาพที่ต้องเจอแล้วอายุของยางก็จะมีมากขึ้นแน่นอน แถมปลอดภัยอีกด้วย

นิสัยการขับรถ

นิสัยการขับรถของแต่ละท่าน จะมีผลต่อการสึกของยางก่อนกำหนด
ฉะนั้นเพื่อเป็นการยืดอายุการ คุณควรเลี่ยงนิสัยการขับ ประมาณว่า ออกรถและหยุดรถอย่างรุนแรง,
การหักเลี้ยวอย่างรุนแรง, การขับรถปีนขอบถนน, ขับเบียดฟุตบาท, การขับโดยไม่หลบหลุม ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวาง ถ้าคุณเป็นอย่างทีว่ามาเผลอแป๊ปเดียวยางคุณดอกโกรนแน่ ๆ

          ราคาของยางรถยนต์ที่มีคุณภาพก็ไม่ใช่ถูก ๆ เพื่อเป็นการประหยัดไม่ให้เสียของเปล่าประโยชน์ก็ลองนำคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้ อย่างนน้อยก็เพื่อยืดอายุยางรถยนต์ของท่าน และประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย     
 

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

TOYOTA - จุดเริ่มต้น

โตโยต้า มอเตอร์ คอร์เปอเรชั่น 

เริ่มก่อตั้ง เดือน กันยายน 2476 (หรือ ค.ศ.1993)

นำโดยคีชิโระ โตะโยะดะ ซึ่งได้ทำการตั้งแผนกใหม่

ในปี พ.ศ. 2477 (หรือ ค.ศ.1934) 

เพื่อทุ่มเทกับการพัฒนาเครื่องยนต์ Type A 

ซึ่งได้นำไปใช้ใน Model A1 

ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งคันแรกของบริษัท 

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2478 (ค.ศ.1935) 

และรถบรรทุก G1 เดือนกรกฎาคม ในปีเดียวกัน 

ซึ่ง Model A1 ได้พัฒนามาผลิตเพื่อการค้าเต็มรูปแบบ

ซึ่งคือ Model AA ในปี พ.ศ.2479 (หรือ ค.ศ.1937) 

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ป้ายจราจร - ป้ายเตือน

ป้ายจราจร ประเภทป้ายเตือน

ป้ายเตือนนี้ ลักษณะของป้ายสัญลักณ์ เป็นการเตือนให้ผู้ใช้รถ

เพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ผิด

โดยป้ายเตือน แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
 
1. ป้ายเตือนตามรูปแบบและลักษณะที่กำหนด

2. ป้ายเตือนที่แสดงด้วยข้อความ และ/หรือสัญลักษณ์

3. ป้ายเตือนในงานก่อสร้างต่าง ๆ


กรณีเกิดเหตุฉุกเฺฉิน

กรณีฉุกเฉิน

ขับรถในทุกวันนี้ กรณีฉุกเฉินเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในขณะที่ใช้รถใช้ถนน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก คือ ต้องมีสติ ใช้รถต้องให้สติ เพราะเมื่อ

เกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นมา และสามารถควบคุมสติได้ จะคิดหาวิธีการไม่ออกเลย 

ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่มือเก่าหรือมือใหม่ก็ตาม.... 

 

ยางระเบิด

เสียงดังจากการระเบิดของยาง สิ่งที่สำคัญรวบรวมสติไว้ 

ถ้าเป็นไปได้ก็เปิดไฟฉุกเฉินด้วย เพื่อให้คันที่ตามหลังมาทราบว่ารถของท่านกำลังมีปัญหา

อย่า หักพวงมาลัยทันทีทันใด ค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลง 

พวงมาลัยรถจะค่อย ๆ หนักขึ้น รถจะเอียงไปทางด้านที่ล้อระเบิด 

บังคับรถให้วิ่งตรงทาง ค่อย ๆ เหยียบเบรคที่ละน้อยจนรถหยุด

นำรถเข้าชิดขอบทางด้านซ้ายแล้วเปลี่ยนยางอะไหล่

 

เบรคแตก

ถ้าเหยียบเบรคจะรู้สึกว่าจมหายลงไปไม่มีแรงต้าน ห้ามล้อไม่ได้

ให้บังคับพวงมาลัยให้รถวิ่งไปในทางที่ปลอดภัย 

พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดปุ่มล็อคคันเบรคมือไว้ 

แล้วค่อย ๆ ดึงคันเบรคมือขึ้นและลงสลับกัน 

จนกระทั่งชะลอความเร็วและหยุดรถได้สนิท 

ข้อควรระวังก็คือ อย่าดึงเบรคมือขึ้นอย่างแรงในทันทีทันใด

 

หม้อน้ำรั่ว

ห้หยุดรถแล้วดับเครื่องยนต์ จากนั้นสังเกตรอยรั่วของหม้อน้ำ 

ซึ่งจะมีน้ำพุ่งออกมา ต้องอยู่ห่าง ๆ และห้ามเปิดฝาหม้อน้ำโดยเด็ดขาด 

เพราะหม้อน้ำกำลังร้อน อาจทำให้น้ำร้อนพุ่งออกมาลวกหน้าได้ ควรปล่อยให้หม้อน้ำเย็นลง

 

กระจกแตก

พยายามจำข้างหน้ารถไว้ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อบังคับรถไม่ให้ชน 

เปิดไฟเลี้ยวซ้ายเข้าจอดไหล่ทางด้านซ้ายมือ ป้องกันรถคันอื่นชนและดึงเบรคมือไว้ 

หากมีผ้าเทปอยู่ในรถให้นำมาปิดประจกไว้ แล้วเคาะกระจกออก 

ถ้ามีแว่นตาให้ใส่ไว้เพื่อกันฝุ่นเข้าตา

 

รถตกน้ำ

ปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยออก  ปล่อยให้ตัวรถบริเวณติดตั้งเครื่องยนต์จมน้ำก่อน 

ถ้าสามารถเปิดหน้าต่างหรือประตูรถออกได้ในขณะที่ตัวรถยังไม่จมน้ำหมดทั้งคันให้รีบทำ

แต่ถ้าไม่สามารถเปิดกระจกได้ ส่วนหัวของเบาะนั่ง ตรงส่วนที่รองรับหัวของท่าน มีประโยชน์

ให้ดึงออกมา สามารถงัดกระจกออกได้ 

 

ผู้เขียน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า 

กรณีต่าง ๆ ที่แนะนำไปนี้ คงจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่าน

แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ สติ และประสบการณ์ของผู้ขับขี่ด้วย 

หวังว่าเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นท่าน ... 

โชคดีทุกท่านครับ


วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

รถสตาร์ตไม่ติด

รถสตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติด แล้วจะทำอย่างไร?

ถ้าผู้ขับขี่ที่มีพื้นฐานความรู้ด้านช่างอยู่บ้างก็คงจะพอแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้
แต่ถ้าเป็นผู้ขับขี่มือใหม่คงจะหาวิธีอื่น ยิ่งโดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่ผู้สุภาพสตรีด้วยแล้ว
หาผู้ช่วยเลย ไม่ก็สอบถามผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์เพื่อที่จะทำการแก้ไขปัญหา

อาการเบื้องต้น เมื่อบิดกุญแจแล้วเครื่องยนต์ไม่หมุนแต่มีเสียงดังแชะ ๆ หรือไม่ดัง

ถ้าอาการนี้เกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณ สันนิษฐานว่า แบตเตอรี่ หรือไดสตาร์ตมีปัญหา ลองบีบแตรดูอาการว่าแตรดังปกติหรือไม่? แบตเตอรี่อาจจะอ่อนเกือบหมด ทำให้หมุนไดสตาร์ตไม่ไหว ได้แค่กระตุ้นโซลินอยด์เบาๆ แต่หมุนไม่ไหวจึงมีเสียงแชะๆ

ถ้าแบตเตอรี่มีไฟ ไดสตาร์ตอาจขัดข้อง ถ้าไดสตาร์ตขัดข้องให้ทดลองหาท่อนไม้มาเคาะไดสตาร์ต (ต้องระมัดระวังอย่าให้โดนอุปกรณ์อื่น ๆ) ถ้าสตาร์ตติดแสดงว่าไดสตาร์ตสกปรก แต่หลังจากนั้นก็ต้องถอดไปทำความสะอาดด้วย แต่ถ้าเคาะแล้วยังไม่ทำงานก็ต้องถอดออกไปซ่อม

บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนอืด ๆ ไม่ยอมทำงานเอง ถ้าคุณได้ยินเสียงไดสตาร์ต และการหมุนของเครื่องยนต์ แต่เป็นการหมุนช้า ๆ หรืออืด ๆ อาการนี้ มักมีปัญหามาจากแบตเตอรี่ไฟอ่อน แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือไดชาร์จไม่ปกติ ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวเครื่องยนต์

อาการขัดข้องแบบนี้ถ้าเป็นระบบเกียร์ธรรมดา สามารถเข็นโดยเข้าเกียร์ 2 กระตุกติดเครื่องยนต์ได้ หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติก็สามารถพ่วงแบตเตอรี่จากภายนอกเพื่อสตาร์ตเครื่องยนต์ให้ติดได้

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วให้ดูไฟรูปแบตเตอรี่ที่หน้าปัด ว่าสว่าง หรือเลือนราง ถ้าไฟรูปแบตเตอรี่ไม่สว่างแสดงว่าการชาร์จไฟปกติ แต่ถ้ารูปไฟแบตเตอรี่สว่างขึ้นโชว์ไม่ดับ ควรนำรถของท่านเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจเช็คการชาร์จไฟของไดร์ชาร์จ  เพราะถ้าคุณขับรถต่อไปเครื่องยนต์อาจจะดับเองได้อีก

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์ปัญหาเครื่องยนต์

ผู้ใช้รถถ้ามีความรู้เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องยนต์
ชิ้นส่วนประกอบเครื่องยนต์ว่าชิ้นส่วนใด ทำหน้าที่อะไร
ก็จะช่วยให้ท่านสามารถสังเกตุ คิด วิเคราะห์อาการผิดปกติว่าเกิดขึ้นจากที่ใด มาจากอะไร ท่านจะได้เก็บข้อมูลเพื่อนำไปแจ้งช่างผู้ชำนาญ
เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหารถยนต์ได้ถูกจุดได้

อาการผิดปกติที่สามารถสังเกตุในเบื้องต้น

* เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก

* เครื่องยนต์สตาร์ทติด แต่ช้ากว่าปกติ

* เวลาเดินรถเบา ๆ จะเกิดอาการกระตุก ติด ๆ ขัด หรือเครื่องยนต์เดินไม่นิ่ง

* กดกระจกไม่ลง

* เปิดไฟหน้าแล้วไฟหน้าปัดกระพริบ

* เบาเครื่องยนต์ เครื่องก็ดับไปเฉย ๆ

* เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น

* มีเสียงดังแปลก ในเวลาเร่งเครื่อง

* มีเสียงดังแปลก ๆ ในขณะเปลี่ยนเกียร์

* เข้าเกียร์เดินหน้าแล้วรถกระตุก

* ไฟหน้า-ไฟท้ายขาด

* หักพวงมาลัยไปทางซ้าย หรือทางขวา ไฟหน้าปัดตกหรือกระพริบ
ฯลฯ

อาการเบื้องต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว ผู้ใช้รถอาจจะสามารถสังเกตุได้ และไม่ควรเพิกเฉย หรือปล่อยไป คิดเพียงว่าไม่เป็นไรมัง อย่าพลัดวันประกันพุ่ง อย่าปล่อยให้อาการเหล่านี้ทิ้งไว้จนปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้เสียเงินเสียทองมากขึ้น  และหากวันใดวันหนึ่งที่ท่านต้องเดินทางไกลโดยไม่ได้ตั้งตัวแล้วบังเอิญรถของท่านเกิดปัญหาในเวลาดึก ๆ ในที่เปลี่ยว ห่างไกลบ้านคน

ขอแนะนำวิธีตรวจง่าย ๆ สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งเครื่องยนต์เบนซินจะใช้หัวเทียนในการจุดระเบิด ดังนั้นควรถอดหัวเทียนออกมาดูบ้าง เพื่อวิเคราะห์การเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์

การวิเคราะห์หัวเทียน

* หากหัวเทียนมีสีน้ำตาลไหม้ แสดงว่าการเผาไหม้ของเครื่องยนต์สมบูรณ์ เครื่องยนต์ยังคงทำงานได้ตามปกติ

* หากหัวเทียนมีเขม่าสีดำเกาะอยู่โดยรอบ แสดงว่าส่วนผสมระหว่างน้ำมันและอากาศไม่ได้อัตราส่วนที่เหมาะสม เป็นต้นว่าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากระบอกสูบมากเกินไป ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูณ์ จึงเกิดเขม่าดำในห้องเครื่องยนต์และไอเสีย

* หากหัวเทียนมีเขม่าสีขาวเกาะโดยรอบ คล้ายขี้เถ้า แสดงว่าส่วนผสมระหว่างน้ำมันและอากาศไม่ได้อัตราส่วนที่เหมาะสม เช่น อากาศรั่วเข้าไปในกระบอกสูบ ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ อาจมีซีลของแหวนบางตัวเกิดเสื่อมสภาพการใช้งาน

* หากหัวเทียนเปียกแฉะและกลิ่นน้ำมันเบนซิลโชยจนแทบทนไม่ไหว แสดงว่าน้ำมันท่วม หากมีควันขาวพุ่งออกเยอะ ก็ให้รีบนำรถเข้าตรวจเช็คระบบจ่ายน้ำมันทันที

* หากหัวเทียนแห้งปกติ ไม่มีกลิ่นน้ำมันเบนซินเลย แสดงว่าระบบจ่ายน้ำมันเริ่มมีปัญหา เช่น คาร์บูเรเตอร์ไม่จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้ระบบไอดี

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรละเลย ก็คือเรื่อง "เสียง" โดยเฉพาะเสียงของเครื่องยนต์ เพราะถ้าจะเป็นรถยนต์รุ่นไหนก็ตาม หากว่าเครื่องยนต์มีการทำงานที่ผิดปกติ เราก็สามารถฟังและได้ยิน นอกจากว่าท่านจะไม่สนใจกับอาการผิดปกตินั้น แต่หากว่าเอะใจ และสังเกตุอาการไปเรื่อย ๆ แยกแยะ ก็จะทำให้ท่านสามารถแก้ไขปัญหาอาการได้อย่างทันท่วงที

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

การแก้ปัญหารถยนต์เบื้องต้น

ผู้ใช้รถยนต์จะต้องสังเกตุรถยนต์ที่ท่านใช้งาน เพื่อเป็นการสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไปสำหรับสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นการฟังเสียผิดปกติ อาการผิดปกติ ฯลฯ ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถยนต์ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเบื้องต้น หรือเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของท่านได้

อาการผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อาทิเช่น เสียงเครื่องยนต์ที่ดังผิดปกติไปจากเดิม แรงสั่นสะเทือนที่ปกติไม่เคยเป็น หรือใช้เวลานานกว่าปกติสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งสาเหตุอาจมาจากหลาย ๆ สาเหตุ และในบางครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาจากเครื่องยนต์เสียทั้งหมด

ดังนั้นแล้วผู้ใช้รถจึงจะต้องเคยสังเกตุอาการผิดปกติของรถยนต์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา และสามารถที่จะบอกอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ให้กับช่างผู้ชำนาญฟังได้

การสังเกตุอาจจะไม่ใช่เรื่องยากนัก เพราะเราจะชินกับการทำงานขั้นตอนเดิม ๆ ซึ่งเมื่อใดที่มีอาการผิดปกติแล้ว เราก็จะสามารถที่จะทราบถึงความผิดปกตินั้นอย่างง่ายดาย

และในบางครั้ง ถ้าผู้ใช้รถบางท่านที่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ ท่านก็จะสามารถที่จะแก้ไขปัญหารถยนต์ของท่านเองได้ หรือในการเดินทางไกลท่านอาจจะวิเคราะห์อาการเบื้องต้น สามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจ เช่น ตัดสินใจแวะอู่ซ่อมรถข้างทาง หรืออาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านอาจจะประคองรถและสามารถเดินทางต่อไปอย่างระมัดระวัง

รถควันดำ

รถควันดำ และการแก้ไขรถควันดำ

เป็นไหม ถ้าคุณขับรถตามรถคันข้างหน้าที่ปล่อยคันดำออกมา คุณมักจะพูดติดตลกว่า ควันดำจัง ทำไมไม่แปลงฟันเลย ฯลฯ ไม่รู้เป็นเหมือนกันหรือเปล่า

ปัจจุบัน มลภาวะบ้านเราก็เยอะ รถก็เยอะ การรณรงค์จากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านผู้ผลิตรถยนต์เอง หรือจะเป็นในส่วนของภาครัฐบาลก็ตาม ทั้งนี้ก็จะต้องได้รับความร่วมมือจากตัวผู้ใช้รถด้วย ในการที่จะไม่ปล่อยปะละลายให้รถยนต์ของท่านมาปล่อยมลพิษที่สร้างมลภาวะให้กับสภาพแวดล้อม

สาเหตุของควันดำ

เครื่องยนต์ที่ผ่านการใช้งานมานานแสนนาน ก็มีความเสื่อมสภาพและซึกหรอมาก เช่น ลูกสูบ และกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด

ปั้มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด หรืออาจเป็นสาเหตุจากการทำงานที่ไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง

หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด

 
กรองอากาศอุดตัน

น้ำมันเครื่องมีอายุการใช้งานมาก

เขม่าควันดำและฝุ่นละอองค้างอยู่ภายในท่อไปเสีย


วิธีแก้ไข


  ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น การเปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น

เข้าศูนย์บริการเพื่อเช็คปั้มเครื่องยนต์ ปรับแต่งปั็้๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมัน ปรับแต่งอัตราและจังหวะการฉีดน้ำมันให้เป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด

  เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้การเผาไหม้สมบูรณ์

  เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา

  ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้องตามระยะเวลาที่กำหนด 

  ล้างท่อไปเสียโดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่าและฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย