วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

กระจกมองข้าง สำคัญฉไหน

กระจกมองข้าง เป็นส่วนประกอบของรถยนต์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งก็ว่าได้


รถยนต์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ก็มีขนาดของกระจกมองข้างไม่เท่ากัน

การที่ผู้ใช้รถปรับกระจกให้ได้องศาที่พอเหมาะ กับระดับการมองเห็นของท่าน

จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะกระจกมองข้าง เป็นการมองรถยนต์ที่อยู่ทางด้านหลัง

หรือแม้แต่ ท่านต้องการเปลี่ยนเลนวิ่งมาทางซ้าย หรือ แซงรถคันอื่นขึ้นไปก็ตาม

ดังนั้นแล้ว หากว่าท่านจะต้องเป็นผู้ใช้รถ ท่านก็ควรที่จะปรับกระจกให้เหมาะกับระยะการมองของท่าน

ซึ่งรถยนต์ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นระบบไฟฟ้า ไปเสียหมดแล้ว ก็จะง่ายต่อการปรับ

สำหรับบางท่าน อาจซื้ออุปกรณ์ที่เป็นกระจกนูนโ้ค้งมาติดเพิ่ม เพื่อช่วยเพิ่มระยะการมอง

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต่อให้รถยนต์ของท่านจะมีระบบป้องกันความปลอดภัยดีสักเพียงใดก็ตาม

ความปลอดภัย ต้องขึ้นอยู่กับผู้ขับ ประสบการณ์ สภาพอากาศ ความไม่ประมาท ความมีสติ

และนอกเหนือสิ่งอื่นใด อาจจะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ผู้ใช้รถท่านอื่นที่อยู่บนถนน

มีอาการมึนเมา บางท่านขับรถหวาดเสียว ฯลฯ

หรือรถของผู้ร่วมใช้ถนนท่านอื่นมีความบกพร่อง เช่น เบรคแตก คันเร่งจม ฯลฯ

ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ และเป็นข่าวกันได้แทบทุกวันไป

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

ลักษณะของรถยนต์

ลักษณะของรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน 

สามารถเป็นได้ 7 ลักษณะ ดังนี้

1. Sedan รูปร่างลักษณะของรถยนต์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถนั่งส่วนบุคคลแบบเก๋ง มีที่นั่งทั้งข้างหน้า และข้างหลัง โดยทั่วไปสามารถนั่งได้ 4–6 คน มีทั้งแบบ 2 ประตู และ 4 ประตู 
 
2.  Convertible Top / แบบเปิดประทุน ลักษณะรถแบบนี้มีหลังคาที่สามารถเปิดขึ้น-ลง โดยทั่วไปหลังคาทาจากวัสดุไวนิล (Vinyl) รถแบบนี้มีทั้ง 2 ประตู และ 4 ประตู รถที่มีเบาะที่นั่งเฉพาะด้านหน้า เราเรียกว่า รถสปอร์ต (Sports)


3. Liftback หรือ Hatchback ลักษณะรถแบบ Liftback หรือ Hatchback รถแบบนี้จะมีประตูด้านหลังซึ่งทาไว้สาหรับเป็นช่องเปิด-ปิดใส่สัมภาระ ส่วนลักษณะภายนอกอย่างอื่นจะมีลักษณะคล้ายกับรถซีดาน รถแบบนี้มีทั้งแบบ 3 ประตู และ 5 ประตู


4. Station Wagon ลักษณะรถแบบ Station Wagon มีหลังคายื่นยาวไปถึงด้านหลัง บริเวณด้านหลังจะมีที่เก็บสัมภาระ และมีประตูเปิด-ปิด ลักษณะการเปิดสามารถออกแบบให้เปิดได้หลายวิธี เช่น อาจเปิดขึ้นข้างบน หรือเปิดออกทางด้านข้าง รถแบบ Station Wagon มีทั้ง 2 ประตู หรือ 4 ประตู


5. Pick-ups หรือรถกระบะ ลักษณะรถแบบ Pick-ups รถแบบนี้ถูกออกแบบให้ด้านท้าย หรือบริเวณด้านหลังคนขับ เป็นกระบะ ใช้งานสาหรับงานบรรทุก บางรุ่นเพิ่มพื้นที่ด้านหลังคนขับภายในห้องโดยสารให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น โดยเราเรียกว่า CAP รถกระบะมีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ หรือเราเรียกว่า 4x4 หรือบางครั้งมีการออกแบบให้ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา

 


6. Vans ลักษณะรถแบบ Vans ออกแบบให้มีหลังคายาวไปถึงท้ายรถยนต์ ด้านหลังคนขับมีพื้นที่ไว้งานได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้สาหรับเป็นรถโดยสาร สามารถนั่งได้ถึง 12 คน หรือใช้สาหรับขนส่งสินค้า แล้วแต่การออกแบบเพื่อใช้งาน

7. Multipurpose Vehicles หรือ รถอเนกประสงค์ ลักษณะรถแบบ Vans ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบด้วยกัน โดยหลังคายาวคลุมตลอดตัวรถ มีพื้นที่ด้านหลังคนขับไว้ใช้งาน มีแบบทั้ง ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา


วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

ร่องยาง และดอกยาง

ร่องยาง

ร่องยางที่มีความกว้าง และความลึก ช่วยในการเรื่องของการรีดน้ำออกจากยาง ได้อย่างรวาดเร็ว ลดหารเหิรน้ำ ช่วยเกาะถนน

ดอกยาง

ดอกยางสัมผัสโดยตรงกับถนน มีหน้าที่ที่สำคัญในการยึดเกาะถนน


วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

การเลือกยางรถยนต์

รถเก๋งและรถสปอร์ต

ยางที่เหมาะกับรถเก๋ง เน้นการใช้งานบนถนนเรียบทั่วไป
มีคุณสมบัติ หลัก ๆ คือ ให้ความนิ่มนวลขณะขับขี่ ยึดเกาะถนนได้ดีทั้งในสภาพถนนแห้ง
สามารถรีดน้ำออกจากหน้ายางได้อย่างเร็ว บนถนนเปียก มีระยะเบรกที่สั้น เก็บเสียง
เพิ่มความประหยัดน้ำมัน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ยางของรถสปอร์ตส่วนใหญ่ ถูกกำหนดแน่นอนว่าด้านใดอยู่ข้างนอกหรือข้างในตัวรถ
เพราะยางแบบนี้จะมีส่วนของเนื้อยางด้านนอกและด้านในที่แตกต่างกัน โดยด้านในของหน้ายางเป็นเนื้อยางที่ช่วยทำหน้าที่ตัดฝ่าผิวน้ำ และสามารถฝังตัวเกาะเข้ากับพื้นถนน ช่วยเพิ่มสมรรถนะบนพื้นเปียกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนหน้ายางด้านนอกจะเป็นสูตรเนื้อยางคาร์บอนแบล็กเสริมแรง ช่วยให้ยางมีความคงทน แม้ผู้ขับจะเข้าโค้งแรง ๆ อยู่เสมอ

ยางสำหรับรถยนต์นั่งอเนกประสงค์

ยางสำหรับรถยนต์นั่งอเนกประสงค์มีอยู่ 3 แบบ คือ

1. ยางไฮเวย์เทอร์เรนสำหรับวิ่งบนถนนลาดยางปกติ

2.ยางออลเทอร์เรนที่ใช้ได้ทั้งบนถนนลาดยางและถนนดินลูกรัง

3.ยางมัดเทอร์เรนสำหรับการลุยบนเส้นทางที่มีอุปสรรคอย่างก้อนหินขนาดใหญ่ หรือบ่อโคลน

ความแตกต่างของยางทั้ง 3 แบบนี้มองเห็นได้ง่าย ๆ จากลักษณะของดอกยางและร่องดอกยาง

ยางแบบไฮเวย์เทอร์เรน

ดูคล้ายยางของรถเก๋ง เน้นความเงียบและนุ่ม
แก้มยางจึงมีความยืดหยุ่น ผสานดอกยางที่ให้ความมั่นคงในการทรงตัวที่ความเร็วสูง ๆ
หน้าสัมผัสของยางมีขนาดที่กว้างช่วยให้การกระจายน้ำหนักสม่ำเสมอ
เนื้อยางเหนียว ยืดหยุ่น และทนการบาดตำและเสียดสี

ยางออลเทอร์เรน

ยางออลเทอร์เรน เป็นยางที่ให้สมรรถนะพร้อมลุยทุกสภาพเส้นทางที่ไม่โหดมาก
โดยยังคงมีคุณสมบัติที่ให้ความเงียบนุ่มสบาย และทะยานไปได้อย่างมั่นคงบนทางไฮเวย์
แต่ไม่สูญเสียความสามารถในการตะกุยบนทางออฟโรด
จึงเน้นการออกแบบลายดอกยางให้มีร่องบากขนาดใหญ่จำนวนมาก
เพื่อให้สามารถยึดเกาะถนนทุกสภาพพื้นผิว ไม่ว่าจะโคลน ดิน ทราย และผิวหญ้า
บล็อกดอกยางมีขนาดที่แตกต่างกัน ช่วยหักล้างความถี่เสียงที่เกิดขึ้น
เสียงยางบนถนนจึงไม่ดังมาก เนื้อยางต้องมีความเหนียว ยืดหยุ่น
ทนการเสียดสีบาดตำได้ดีกว่ายางแบบไฮเวย์เทอร์เรน

ยางมัดเทอร์เรน

ยางมัดเทอร์เรนเป็นยางที่เหมาะกับคนที่ชอบเข้าป่าเที่ยวภูเขา
รักกับการลุยบนเส้นทางโหด ๆ ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นท่อนซุง หลุม โคลน หรือหินก้อนใหญ่ ๆ
ยางแบบนี้สามารถช่วยให้รถเคลื่อนที่ผ่านไปได้ด้วยลักษณะของดอกยางขนาดใหญ่
ที่เหมาะกับการปีนป่ายและตะกุย เนื้อยางมีความแข็งแกร่งแต่ขาดความนุ่ม
เวลาที่วิ่งเร็ว ๆ รู้สึกได้ว่าเสียงยางบดถนนดังมาก การยึดเกาะถนนก็ไม่ดีเท่าไร
เพราะดอกยางขาดความยืดหยุ่นและมีผิวสัมผัสน้อย

ยางสำหรับรถตู้และรถกระบะ

          รถกลุ่มนี้จะแบ่งยางออกเป็น 2 แบบ คือ ยางสำหรับการใช้งานโดยทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้เน้นการบรรทุกหนัก กับยางแบบที่เหมาะสำหรับใช้กับรถที่รองรับน้ำหนักบรรทุกหนัก ๆ
         
          สำหรับลักษณะของดอกยางรถตู้และกระบะที่ไม่เน้นการใช้งานหนักจะคล้าย ๆ กับลายดอกยางของรถเก๋งเพราะต้องการผสมผสานความนุ่มเงียบแบบรถเก๋งและมีความ ทนทานแบบยางกระบะ โครงสร้างยางโดยรวมและชั้นเนื้อยางบริเวณแก้มยางมีการเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากการใช้งาน ส่วนลักษณะของดอกยางและร่องยางของรถที่ต้องบรรทุกหนัก นอกจากจะมีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังต้องเสริมโครงสร้างของยางด้วยใยเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงที่มีขนาดใหญ่และ กว้างเป็นพิเศษ พร้อมด้วยชั้นใยสังเคราะห์ความแข็งแรงสูงรัดหน้ายางจดไหล่ยาง ให้ความแข็งแกร่งทั้งหน้ายางและไหล่ยาง

เมื่อไรที่จะถึงเวลาต้องเปลี่ยนยาง

ถ้าเป็นการใช้งานโดยปกติและเจ้าของหมั่นดูแลรักษาอยู่เสมอ มีการสลับยางทุก ๆ 10,000 กม.
อายุการใช้งานของยางจะอยู่ที่ประมาณ 3 ปี หรือคิดเป็นระยะทางประมาณ 50,000 กม.
แต่ถ้าพบว่ายางมีการเสื่อมสภาพหรือมีอาการผิดปกติ เช่น มีการสั่นสะเทือนของยาง มีเสียงดัง ยางดึงซ้ายหรือขวา ดอกยางสึกมากจนมีความลึกของร่องยางไม่ถึง 1.6 มม.หรือยางได้รับความเสียหายจนมีรอยฉีกขาด ก็ต้องรีบนำรถเข้าไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญตามศูนย์บริการยาง และทำการเปลี่ยนยางเส้นใหม่มาทดแทนเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

"เลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถของท่าน และดูแลรักษายางอยู่เสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของยาง และเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง"